คอลลาเจนสำคัญกับผิวแค่ไหน ?
คอลลาเจน คือ โปรตีนเมตริกซ์นอกเซลล์ที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ ทำหน้าที่คล้าย ๆ กาวที่คอยยึดเกาะ เซลล์ผิวหนัง เอ็น กล้ามเนื้อให้แน่นสนิทเต่งตึง พบได้ตามกระดูก กระดูกอ่อน รวมถึงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายของสัตว์และมนุษย์ ด้วยคุณสมบัติเสริมสร้างความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ทำให้ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนจำนวนมาก ทั้งชนิดเม็ดหรือชนิดผงละลายน้ำ
การลดลงของคอลลาเจน
ในช่วงวัยเด็ก และวัยสาวรุ่น ร่างกายจะสังเคราะห์คอลลาเจนอย่างเต็มที่สมบูรณ์ จนเมื่ออายุย่างเข้า 30 อัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนจะเริ่มลดลงปีละ 1.5% ในทุก ๆ ปี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังโชคร้ายที่จะเกิดขึ้นชัดเจนในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เขาถึงบอกว่า ผู้หญิงแก่ง่ายกว่าผู้ชาย อัตราการลดลงอย่างต่อเนื่องของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้จะมีผลให้ผิวพรรณค่อย ๆ สูญเสียความชุ่มชื่น นุ่มเนียน และความยืดหยุ่น ผิวที่เคยสวย เต่งตึง นุ่มนวล ค่อย ๆ แห้งกร้าน ผิวจะยุบตัวลงทุกปีทุกปี ทำให้เกิดริ้วรอยเหยี่ยวย่นและตีนกา และกว่าคุณจะอายุ 45 ปี ระดับคอลลาเจนในชั้นผิวได้ลดลงไปแล้วกว่า 30%
วิธีเพิ่มคอลลาเจน คืนกลับให้ผิวที่ได้ผลคือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนังและการรับประทานเท่านั้น แต่การรับประทานจะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่า และ นำคอลลาเจนเข้าไปเสริมสร้างผิวพรรณทั้งใบหน้าและทั่วทั้งร่าง อีกทั้งเข้าไปเสริมสร้างเส้นผมให้เงางาม เล็บมือ เล็บเท้าไม่เปราะ หักง่าย เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่เป็นโครงสร้างของผมและเล็บที่งอกใหม่ออกมาทุกวัน ในขณะที่การฉีดจะเสริมคอลลาเจนได้เฉพาะที่เท่านั้น
ชนิดของคอลลาเจน
โดยปกติร่างกายของเราจะมีคอลลาเจนอยู่ 2 ชนิด คือ
1. คอลลาเจนที่ละลายน้ำไม่ได้ (Insoluble Collagen)
2. คอลลาเจนที่ละลายน้ำได้ (Soluble Collagen) จะมีปริมาณลดลงเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น เพราะมีการเปลี่ยนสภาพเป็นคอลลาเจนที่ละลายน้ำไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียความเต่งตึงและยืดหยุ่นของผิวหนัง
คอลลาเจนสามารถแบ่งได้ทั้งหมดออกเป็น 13 ชนิด โดยเรียงตามลำดับของกรดอะมิโน แต่ที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปนั้นมีเพียง 4 ชนิดเท่านั้น ดังนี้
1. คอลลาเจนชนิด type I มักจะพบในกลุ่มสัตว์ชั้นสูงที่อยู่ในบริเวณหนัง เอ็น และกระดูก ซึ่งประกอบไปด้วย 3 สาย คือ สาย α1( I ) จำนวน 2 สาย และ α2 ( I ) จำนวน 1 สาย คอลลาเจนชนิดนี้ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนไกลซีน มีอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของกรดอะมิโนทั้งหมด ส่วนกรดอะมิโนที่ไม่บิดเป็นเกลียวสั้นจะประกอบไปด้วยฮิสติดีนและไทโรซีน
2. คอลลาเจนชนิด type II มักจะพบในกระดูกอ่อน ซึ่งประกอบไปด้วยสาย α1( II ) จำนวน 3 สาย ลักษณะคล้าย ๆ สาย α1( I ) คอลลาเจนชนิดนี้จะมีปริมาณไฮดรอกซีไลซีนสูงกว่าชนิด type I มากกว่าถึง 3 เท่า
3. คอลลาเจนชนิด type III เป็นคอลลาเจนที่พบได้ปริมาณน้อย (ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์) มักพบในเส้นเลือด และยังมีการจับตัวกับคอลลาเจนชนิด type I จึงสามารถพบคอลลาเจนชนิด type III ปะปนกับคอลลาเจน type I หลังจากผ่านการสกัดคอลลาเจนแล้ว
4. คอลลาเจนประเภท type IV เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยสามารถพบได้เฉพาะบริเวณเส้นใยฝอยขอเยื่อแผ่นบางๆ บริเวณนอกเซลล์
ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนไม่เพียงพอ
+ผู้สูงอายุ (มีความสามารถในการสร้างคอลลาเจนได้น้อยกว่าวัยอื่น)
+รังสี UV จากแสงแดด
+ความเครียด
+พักผ่อนไม่เพียงพอ
+สูบบุหรี่
+รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
ผลกระทบจากการขาดคอลลาเจน
+ทำให้เกิดริ้วรอยบนผิวหนัง
+ผิวหนังเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย
+กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพ
+โรคข้อเสื่อม
อาหารช่วยการผลิตคอลลาเจนทดแทน
ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง (Soy Bean) เช่น นมถั่วเหลือง โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากถั่วเหลืองจะมีเจนีสทีน (Genistein) เป็นองค์ประกอบ ช่วยให้เกิดการผลิตคอลลาเจนและช่วยป้องกันเอนไซม์ที่ทำลายผิวอีกด้วย
ผักสีเขียวเข้ม เช่น ผักโขม (Spinach) กะหล่ำปลี (Cabbage) และผักคะน้า (Kale) ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ลูทีน (Lutien) เป็นส่วนประกอบ ผักเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความสามารถของร่างกายในการผลิตคอลลาเจนและก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารต้านอนุมูลอิสระ พบได้ในหัวผักกาด (Beets) พริกแดง (Red Peppers) บลูเบอร์รี่ (Blueberries) พรุน (Prunes) ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและช่วยเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจน
ผลไม้สีแดงและผัก ในผักประเภทนี้จะมี ไลโคปีน (Lycopene) เป็นองค์ประกอบ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและยังส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอีกด้วย
วิตามิน ซี (Vitamin C) ที่อยู่ในผักและผลไม้ ทำให้ร่างกายสร้างและดูดซึมคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี จึงควรรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เช่น ส้ม มะนาว และสตรอเบอรรี่ เป็นต้น
กรดโอเมก้า (Omega Acid) พบได้ใน ปลาแซลม่อน ปลาทูน่า ถั่วอัลมอนด์ และอะโวคาโด เนื่องจากผิวหนังของมนุษย์จะประกอบด้วยโปรตีนกรดโอเมก้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อผิวพรรณ
วิตามิน อี (Vitamin E) เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องผิวจากสองปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนสลาย ได้แก่ แสงแดดและอนุมูลอิสระ ซึ่ง วิตามิน อี จะช่วยให้ริ้วรอยลดลง เพิ่มความอ่อนนุ่มและเรียบเนียนให้กับผิว โดยอาหารที่เป็นแหล่งของ วิตามิน อี ได้แก่ ข้าวโพด ผักโขม จมูกข้าวสาลี และมะกอก เป็นต้น
วิตามิน เอ (Vitamin A) มี เรติน-เอ (Retine-a) ที่ช่วยในการปรับสีผม ขจัดผิวที่แห้ง รักษาความอ่อนเยาว์ และทำให้ผิวดูกระชับขึ้น สำหรับอาหารที่เป็นแหล่ง วิตามิน เอ ได้แก่ แครอท นม เนื้อ ปลา เนยแข็ง ไข่ และตับ เป็นต้น
ทองแดง นับว่าเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์คอลลาเจน แต่เนื่องจากทองแดง คือ โลหะเป็นพิษ จึงควรรับทองแดงที่เป็นส่วนประกอบในอาหาร เช่น น้ำอ้อย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วเขียว มะเขือเทศ มันฝรั่ง และผักคะน้า เป็นต้น
ไลซีน (Lysine) และ โพรลีน (Proline) คือ กรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบของคอลลาเจน โดยที่ โพรลีน เป็นกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น และร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้จึงต้องรับจากอาหารเท่านั้น ได้แก่ นม เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อหมู และปลา เป็นต้น
สมุนไพรที่ช่วยการผลิตคอลลาเจน
นอกจากอาหารที่ช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนแล้ว ยังมีสมุนไพรที่ช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอีกด้วย ได้แก่
ว่านหางจระเข้ (Aloe) มีส่วนในการรักษาบาดแผลโดยการเพิ่มการผลิตคอลลาเจน
บิลเบอร์รี่ (Bilberry) มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้คอลลาเจนคงตัว
ดาวเรือง (Calendula) นักวิจัยเชื่อว่าครีมดาวเรืองจะช่วยรักษาแผลและช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้
หญ้าหางม้า (Horsetail) มีซิลิกา (Silica) เป็นองค์ประกอบซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการเพื่อผลิตคอลลาเจนและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
น้ำเต้า (Bottle gourd) มีสารไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) ที่ช่วยป้องกันริ้วรอย อีกทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย
กวาวเครือขาว มีสารกลุ่มไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) และ โครมีน (Chromene) ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จากงานวิจัยพบว่า ไฟโตเอสโทรเจน และ เอสโตรเจน จะช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นหนังแท้ได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง
ประโยชน์ของคอลลาเจน
1. ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในงานที่เกี่ยวกับการผ่าตัด การฉีดเพื่อรักษารอยแผลเป็น รอยเหี่ยวย่น หรือการผ่าตัดเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
2. ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง เพื่อเสริมสรรพคุณในการรักษารอยเหี่ยวย่น พร้อมกับบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง เต่งตึง แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัยมากขึ้น
3. ใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือแหล่งโปรตีนเสริมที่จำเป็นต่อร่างกาย
4. บำรุงสุขภาพผิวพรรณ โดยปกป้องดูแลผิวและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ
ข้อเสียของคอลลาเจน
1. อาจจะมีอาการติดเชื้อได้จากคอลลาเจนที่ไม่สะอาดปลอดภัยจากเชื้อโรค อย่างเช่นเชื้อแอนแทรคจากเนื้อวัว หรือเชื้อโรคอื่นๆ จากเนื้อปลาและเนื้อหมูที่สามารถแพร่ติดต่อสู่คนได้
2. สำหรับผู้ที่มีภูมิไวอาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่แพ้อาหารทะเลจะเสี่ยงต่ออาการแพ้จากคอลลาเจนจากปลาทะเล หรือแหล่งคอลลาเจนที่ไม่สะอาดเพียงพอจะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสารพิษ
ดังนั้น สำหรับใคร สนใจในการเลือกผลิตภัณฑ์คอลลาเจน มาดูแลตัวเองนั้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถเชื่อมั่นได้ว่าปลอดภัย เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อช่วยให้เราได้รับประโยชน์จากคอลลาเจนมากที่สุด มีผิวพรรณที่ดี และสุขภาพแข็งแรง ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://health.kapook.com
https://bkkbeauty.com
https://www.honestdocs.co
https://www.parrythailand.com
https://www.sanook.com/women
https://med.mahidol.ac.th