ถ้าจะกล่าวถึง มะเขือเทศ คุณผู้อ่าน หลายคน คงนึกถึง ลูกมะเขือเทศที่มีลักษณะ เป็น ลูกกลมๆบ้าง ลูกรีบ้าง มีสีแดงๆ สีชมพู หรือ สีเขียวลูกกลมเล็กๆ แตกต่างกันตามสายพันธุ์ ซึ่งเรานิยมนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหาร เพื่อเพิ่มรสชาติเปรี้ยว และ เพิ่มความกลมกล่อม ในอาหารของเราให้มากขึ้น และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากที่ คุณผู้อ่าน จะรู้จักกันดี ในวัตถุดิบของอาหาร แล้ว สาวๆ ยังรู้จักกันดีในเรื่องของความงามอีกด้วย บางคน ก็นำ มะเขือเทศสดพอกหน้าบางล่ะ ถูใบหน้า ดื่มน้ำมะเขือเทศ หรือบางคนก็ รับประทานมะเขือเทศสดๆ กันไปเลย เพราะหลายคนเชื่อว่า มะเขือเทศ ช่วยในการบำรุงรักษาความงามของผิวพรรณให้ขาวใสอมชมพูได้ นอกจากช่วยในเรื่องความงามแล้ว มะเขือเทศเองยังช่วยในเรื่องของสุขภาพต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย เพราะ มะเขือเทศนั้นเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบที่มีประโยชน์สูง จึงไม่แปลกเลยที่จะมี บทความหลายสำนัก หรือ งานวิจัยหลายๆ ตัว ออกมา คอนเฟิร์ม ว่า ทำแล้ว สุขภาพผิวสวยขึ้นจริงๆ ดังนั้น ปัจจุบันจึงมีผลงานวิจัยหลายๆตัว จากนักวิทยาศาสตร์ ออกมา เพื่อที่จะสกัดสารที่สำคัญในมะเขือเทศ ออกมา ให้อยู่ในรูปของอาหารเสริม เพื่อผู้บริโภคจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด เพราะสารในมะเขือเทศ นั้น มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง แล้วสารนั้นคือสารอะไร มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และ ผิวพรรณ อย่างไรบ้างล่ะ วันนี้ เราจะพาคุณผู้อ่าน ไปรู้จัก กับ สารสกัดมะเขือเทศ กันค่ะ
มะเขือเทศ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Lycopersicon esculentum Mill.) เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด
ผลมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อ ไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูง มีกลดมาลิค กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค (Glutamic) ซึ่งเป็น กรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารบีตา-แคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น
สารสกัดจากมะเขือเทศ ( Lycopene )
ไลโคปีน (Lycopene) คือ สารสีแดงพบมากในมะเขือเทศ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีฤทธิ์ที่ดีกว่า แบต้าแคโรทีน และแอลฟาโทโคฟีรอล ถึง 2 และ 10 เท่า ตามลำดับ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุด และเป็นสารที่ละลายในน้ำมัน และจะถูกดูดซึมได้ดีในรูปของน้ำมัน ให้ประโยชน์สูงกับอวัยวะที่มีเซลล์ไขมันเป็นส่วนประกอบจำนวนมาก เช่น ต่อมลูกหมาก และ ผิวหนัง จากผลวิจัยที่ผ่านมาในอดีต Lycopene เป็น เม็ดสี ที่ช่วยให้ผักและผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แตงโม ส้มโอมีสีชมพูและแดง และที่สำคัญ ไลโคปีน จะปรากฏ ขึ้นเพื่อแสดงความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับนอกเหนือจากการป้องกันและสามารถลดอัตราการเสี่ยง ของการเกิดโรคมะเร็งได้
ไลโคปีน (Lycopene) มี รากศัพท์มาจากภาษาละตินคำว่า lycopersicum ซึ่งเป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ บ่งบอก สปีชีส์ของมะเขือเทศ (Solanum lycopersicum) ไลโคปีนจัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ชนิดหนึ่งใน 600 ชนิด ละลายได้ดีในไขมันเช่นเดียวกับเบต้าแคโรทีน มีรงควัตถุ (pigment) สีแดง พบได้ทั่วไปในมะเขือเทศสุก ฝรั่ง (pink guava) แตงโม ส้ม มะละกอ แครอท ส้มโอสีชมพู ฟักข้าว (หรือ Gac furit มีสารไลโคปีน มากกว่ามะเขือเทศถึง 70 เท่า) และในผักผลไม้สีแดงต่างๆ (ยกเว้นสตรอเบอร์รี่และเชอร์รี่) แต่ไม่พบในสัตว์
ไลโคปีน(Lycopene) ที่พบมี โครงสร้างทางเคมี 2 แบบคือ trans – configuration และแบบ cis-isomer โดยในธรรมชาติจะพบไลโคปีนแบบ trans – configuration แต่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ cis-isomer ได้เมื่อสัมผัสกับความร้อนหรือและสว่าง โดยในกระแสเลือดของคนเราพบไลโคปีนแบบ cis-isomer อยู่ถึง 60% เลยทีเดียว
ร่าง กายไม่สามารถสังเคราะห์ไลโคปีนเองได้ ดังนั้นเราจึงต้องรับประทานไลโคปีนเข้าไปจากผักผลไม้ หรืออาหารเสริม โดยไลโคปีนจะไปกระจายอยู่ทั่วไปในเนื่อเยื่อบริเวณที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่พบการสะสมของไลโคปีนมากที่ต่อมหมวกไต ลูกอัณฑะ และตับ จากการศึกษาวิจัยพบว่าไลโคปีนที่ผ่านกระบวนการใช้ความร้อน (heat processed-lycopene) เช่น การปรุงอาหาร ร่างกายจะสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าไลโคปีนในธรรมชาติ เนื่องจากไลโคปีนที่มีโครงสร้างแบบ cis -isomer ถูกดูดซึมได้ดีกว่าแบบ trans – configuration และแบบ cis -isomer จะสามารถละลายและรวมตัวกับกรดน้ำดี (bile acid micells) ได้ดีกว่า แบบ trans – configuration ด้วย นอกจากนั้น การใช้ความร้อนในการประกอบอาหารยังทำให้ไลโคปีนที่อยู่ในผนังเซลล์ของผักและ ผลไม้ละลายออกได้มากขึ้น ทำให้ดูดซึมในระบบย่อยอาหารได้ดีกว่ารับประทานแบบสดถึง 2.5 เท่า ดังนั้นหากจะรับประทานผักและผลไม้เพื่อให้ร่างกายได้รับไลโคปีน จึงควรนำผักและผลไม้ไปปรุงให้สุกก่อน
มี ผลการวิจัยทางการแพทย์ที่ ระบุว่าเมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณของไลโคปีนในร่างกายจะลดลง ส่งผลให้โอกาสในการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากไลโคปีนเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ที่มีความแรงมาก และมีส่วนสำคัญในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง กลไกการออกฤทธิ์ที่สำคัญคือเข้าไปจับกับอนุมูลอิสระ (Free radical) ในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการทำลายสายดีเอ็นเอ อันก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ไลโคปีนจะช่วยลดการก่อกลายพันธุ์ ทำให้สามารถยับยั้งวงจรชีวิตของเซลล์มะเร็งในช่วงต้น (ระยะ G1) และลดการเกิดเนื้องอกได้ เมื่อเทียบกับสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดอื่นๆ ไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากมีโครงสร้างที่ต่อกันเป็นสายยาวกว่า ดังรายงานการศึกษาเปรียบเทียบผลในการต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง พบว่าไลโคปีนมีฤทธิ์ที่ดีกว่าเบต้าแคโรทีนและแอลฟาโทโคฟีรอลถึง 2 และ 10 เท่าตามลำดับ มีความเชื่อว่าไลโคปีนสามารถปรับระบบฮอร์โมนและภูมิคุ้มกัน ตลอดจนเมตาบอลิซึมในร่างกายได้ นอกจากนี้การรับประทานไลโคปีนในปริมาณสูงยังช่วยยับยั้งเอนไซม์สำคัญที่ใช้ สังเคราะห์โคเลสเตอรอล และเร่งสลาย โคเลสเตอรอล ชนิดไม่ดีหรือ LDL (Low density lipoprotein) ที่มีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดแข็งตัวได้อีกด้วย
ร่าง กายของคนเราควรได้รับปริมาณไลโคปีน อย่างน้อย 6.5 มก.ต่อวัน ซึ่งเทียบได้กับการทานมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบในอาหาร 10 ครั้งต่อสัปดาห์ ปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าการได้รับไลโคปีนมากเกินไปจะมีผลเสียต่อร่าง กายอย่างไร
ประโยชน์ของ ไลโคปีน (Lycopene)
1. ลดอัตราการเกิดสิว
2. ช่วยให้ผิวดูสวยอมชมพูมีเลือดฝาด
3. บำรุงผิวพรรณให้สดใส เปล่งปลั่ง ผิวมีสุขภาพดี ไม่ไวต่อแสง
4. ช่วยให้ผิวแข็งแรงทนต่อการทำลายของแสงแดดได้มากขึ้น 3 เท่า จึงลดความรุนแรงของการเผาไหม้ของผิวหนังจากแสง สามารถต่อต้านมะเร็งผิวหนัง และชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว
5. มีฤทธิ์ดีมาก ในการช่วยยั้บยั้ง การเกิด ออกซิเดชั่นของไขมันชนิด Low density lipoprotein (LDL) จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis) ลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้
6. ลดอัตราการ เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า เนื่องจาก มะเขือเทศ นั้น เป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบที่มีประโยชน์ค่อนข้างสูง ปัจจุบัน จึงมี ผลงานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ หลายงาน หลายท่าน ที่มุ่งหวังที่จะสกัด “สาร” สำคัญในมะเขือเทศ ที่เรียกกันว่า “ ไลโคปีน (Lycopene)” ออกมา ให้อยู่ในรูปของอาหารเสริม เนื่องจากร่ากายคนเรานั้นไม่สามารถสังเคราะห์ ไลโคปีน เองได้ ดังนั้นเราจึงต้องรับประทาน ไลโคปีน(Lycopene) เข้าไปจากผักผลไม้ หรือ อาหารเสริม นั้นเอง และการที่คนเราปัจจุบันมีวิถีการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม ที่มีทั้งความเร่งรีบ มลภาวะ ความเครียด พักผ่อนน้อย บางท่านยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองได้เท่าที่ควร ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจะเป็นตัวหนึ่งที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพของคุณได้อีกวิธีหนึ่งที่ดีเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อหวัง ให้ผู้บริโภคได้รับ ผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์สูงสุด ในการบริโภค เพื่อสุขภาพที่ดี ผิวพรรณที่ดี และ ชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า ค่ะ ^_^
แหล่งอ้างอิง
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8
http://มะเขือเทศ.blogspot.com/2013/05/blog-post_2667.html